
The White Death
ความตายสีขาว
NATURE STORY
เรื่อง และภาพ : บุญฤทธิ์ ไตรสุธรรมพร
นี่คือภาพปะการังฟอกขาวซึ่งผมเพิ่งถ่ายเมื่อวานซืนนี้ ที่เกาะแห่งหนึ่งในอ่าวไทย ซึ่งถูกจัดว่ามีแนวปะการังน้ำตื้นอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังดำผุดดำว่ายถ่ายรูปนั้น ผมได้ยินเสียงแว่วดังขึ้นในหูว่า “สวยจัง ปะการังสีขาว เหมือนหิมะเลย”
แต่ปะการังที่เหลือเพียงโครงสร้างหินปูนสีขาวนี้ ไม่ต่างอะไรกับโครงกระดูกไร้วิญญาณของปะการัง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วที่มีความสามารถในการดึงแคลเซียมคาร์บอเนต (หินปูน) ในน้ำทะเลมาก่อร่างโครงสร้างของตัวเอง ที่เราเห็นปะการังโขดเป็นก้อนใหญ่ ปะการังเขากวางเป็นกิ่งชูช่อ หรือปะการังแข็งอีกหลายชนิดที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป โครงสร้างเหล่านี้เป็นฝีมือการสร้างของตัวโพลิปปะการังเล็กๆ มากมาย และในรูเล็กๆ บนปะการังเหล่านั้นก็มีตัวโพลิปปะการังอาศัยอยู่เต็มไปหมด
ปะการังหนึ่งกิ่ง หรือหนึ่งก้อน เราเรียกว่า “โคโลนี” เหมือนหนึ่งอาณาจักรเล็กๆ ที่มีตัวโพลิปปะการังอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น หากจะเปรียบว่าเป็นคอนโดมีเนียมของปะการังก็ไม่ผิดนัก แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง โครงสร้างหินปูนเหล่านี้คือโครงกระดูกของตัวโพลิปปะการัง จะต่างกับสิ่งมีชีวิตทั่วไปก็ตรงที่ สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะมีโครงการดูกเป็นแกนกลางลำตัว แต่ปะการังกลับมีโครงกระดูกห่อหุ้มตัวเอาไว้
ปะการังแข็งที่สุขภาพดีจะมีสีน้ำตาลบ้าง ส้มบ้าง หรือสีม่วงก็พบได้บ่อย สีเหล่านี้เป็นสีของสาหร่ายชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อปะการัง โดยสาหร่ายมีความสามารถในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างพลังงาน และแบ่งปันให้ปะการังเป็นสิ่งตอบแทนในการให้ที่อยู่อาศัย
แต่เมื่อโลกร้อน น้ำทะเลก็ร้อน สาหร่ายซูแซนแทนลีไม่สามารถทนอยู่ได้ จึงละทิ้งปะการังไป หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานเกินไป ตัวปะการังทั้งหมดจะตายลง เหลือไว้เพียงโครงสร้างหินปูนที่เปรียบประหนึ่งโครงกระดูกไร้วิญญาณ
หากเราไปดำน้ำในช่วงเวลานี้ จะเห็นภาพปะการังสีขาวอยู่เต็มไปหมด ดูผิวเผินอาจเป็นภาพที่สวยงาม เราได้แต่ภาวนาว่า เมื่อฤดูร้อนผ่านพ้นไป ฤดูฝนมาแทนที่ เมื่อน้ำทะเลเย็นลง ตัวปะการังและสาหร่ายคู่ชีวิตจะกลับมาสู่แนวปะการังต่อไป
แต่หากเวลาผ่านไปสักพัก หากน้ำทะเลยังคงร้อนไม่เปลี่ยนแปลง สาหร่ายอีกชนิดจะเข้ามายึดครองโครงสร้างปะการังที่ตายแล้ว และโครงสร้างสวยๆ เหล่านี้จะพังทลายลงในเวลาต่อมา เท่ากับว่าเป็นการล่มสลายของแนวปะการัง
แล้วปะการังสำคัญขนาดไหน? สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนี้สามารถสร้างโครงสร้างโคโลนีปะการังขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างสวยงามแตกต่างกันมากมาย เมื่อปะการังออกลูกออกหลายก็ขยายอาณาเขตออกไปจนเป็นแนวปะการัง เป็นที่อยู่อาศัยของปลาเล็กปลาน้อยที่พร้อมจะโตในวันข้างหน้า เป็นอาหารของปลาใหญ่ และเป็นอาหารของคนบนโลก
การล่มสลายของแนวปะการัง จึงเป็นการขาดสะบั้นของระบบห่วงโซ่อาหาร
ผมถ่ายภาพชุดนี้ด้วยห้วใจที่เหี่ยวเฉา ผมเคยเห็นภาพแบบนี้ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2554 ตอนที่ผมมีกล้องถ่ายภาพใต้น้ำตัวแรก หลังจากนั้นผมก็เฝ้ามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของแนวปะการังในแต่ละที่ เท่าที่จะสามารถเดินทางไปได้ ผมเห็นการฟื้นตัวอย่างดีของแนวปะการังบางแห่งอย่างไม่น่าเชื่อ เราเชื่อว่าธรรมชาติมีความอดทนไม่น้อย แต่ผมก็เห็นแนวปะการังบางแห่งที่ไม่ฟื้นตัวอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าธรรมชาติจะหมดความอดทนเมื่อไหร่
ผมแค่อยากเผยแพร่ภาพเหล่านี้ และเล่าความจริงที่จะพอทำให้ใครต่อใครเข้าใจความเป็นมาและเป็นไป เพราะ “สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา.. แต่มองเห็นได้ด้วยความเข้าใจ”

หากเรามองปะการังใกล้ๆ จะเห็นรูพรุนเต็มไปหมด รูเหล่านี้เป็นที่อยู่ของตัวโพลิปปะการัง ซึ่งอาศัยอยู่กับสาหร่ายซูแซนแทนลี ที่สังเคราะห์แสงหาอาหารและแบ่งปันให้ปะการัง สาหร่ายนี้เป็นที่มาของสีสันบนปะการัง แต่เมื่อน้ำทะเลร้อน สาหร่ายจะหลุดออกไปจากปะการัง ทำให้ปะการังอ่อนแอ สีซีดลง และตายในที่สุด
โครงสร้างหินปูนเหล่านี้ไม่ใช่ก้อนหินธรรมชาติ แต่เป็นผลงานที่เกิดจากการดึงแคลเซียมในน้ำทะเลมาสร้างโครงสร้างให้ตัวเอง เปรียบเสมือน "กระดูกหุ้มเนื้อ" ซึ่งแตกต่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีเนื้อหุ้มกระดูก
ปะการังที่ตายแล้วจะมีสีขาว จึงไม่ต่างจากโครงกระดูกที่ไร้ชีวิต

ดอกไม้ทะเลเป็นญาติห่างๆ ของปะการัง แต่มีสาหร่ายอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน ดอกไม้ทะเลโชคดีกว่าปะการังตรงที่สามารถดักจับเหยื่อกินเองได้ แต่เมื่อสาหร่ายหายจากไปเหลือไว้แต่เพียงสีขาว ดอกไม้ทะเลก็อ่อนแอ และทำให้สัตว์ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตกับดอกไม้ทะเล อย่างปลาการ์ตูน ก็อยู่ในภาวะเสี่ยงเช่นเดียวกัน

